‘แอ๊ด คาราบาว’ รวยเบียดเจ้าสัวไทย

ได้มากกว่านักร้องเกาหลี 10 อันดับแรกรวมกัน ‘แอ๊ด คาราบาว’ เบียดเจ้าสัวไทย ใส่นาฬิกาเรือน 700 บ. ภรรยาสวยเทียบดารา
เป็นกระแสดังและค่อนข้างแรงมาก ท่านหนึ่งใส่นาฬิกาเรือนละหลายบาท ทำให้มีการพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่เฟซบุ๊ก Carabao Official

(เพจเป็นทางการของวงคาราบาว) ก็มีการโชว์ภาพนาฬิกาที่แอ๊ด ยืนยง โอภากุล สวมใส่ติดตัวเป็นประจำเป็นนาฬิกายี่ห้อไทเม็กซ์ เมื่อก่อนราคา 250 บ

จนทุกวันนี้ราคา 700 บก็ยังใส่อยู่ โดยได้ระบุข้อความว่า “นาฬิกาของพี่แอ๊ด พี่แอ๊ดเล่าว่า นาฬิกาที่ใส่อยู่คือนาฬิกาทหารอเมริกัน”

ยี่ห้อไทเม็กซ์ ใส่มาตั้งแต่สมัยมัธยมฯ พังก็ซื้อใหม่ เมื่อก่อนเรือนละ 250 ทุกวันนี้ 700 ก็ยังใส่อยู่ ใส่ทุกวันตอนวิ่งเอาไว้จับเวลา”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บส์ (ภาษาไทย) ได้ขึ้นปกเป็น แอ๊ด คาราบาว โดยมีคำโปรยมีข้อความว่า The Richest Musician

ยืนยง โอภากุล คนจนผู้ยิ่งใหญ่ สู่อาณาจักรคาราบาวแดงหมื่นล้าน และเมื่อดูมูลค่าหุ้นที่แอ๊ดถือครองอยู่ในบริษัท คาราบาวแดง (CBG)

ปัจจุบัน (15 ธ.ค. 2560) มีมูลค่าประมาณ 5,700 ล. ถือเป็นนักร้องเพื่อชีวิตในตำนานที่ไม่มีใครไม่รู้จัก สำหรับ “ยืนยง โอภากุล”

หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ “แอ๊ด คาราบาว” เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิต หัวหน้าวงคาราบาว นอกจากเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากแล้ว

ยังเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญจนนิตยสารมหาเศรษฐีชื่อดังอย่าง Forbes จับ “แอ๊ด คาราบาว” ขึ้นปก ชูเป็นศิลปินนักร้องที่ร่ำรวยที่สุดของไทย

จากคนจนผู้ยิ่งใหญ่ สู่อาณาจักรคาราบาวแดงหมื่นล้าน ซึ่งดูแล้วชีวิตมีแต่การทำงาน และเชื่อว่าน้อยคนที่จะเคยได้เห็นภรรยาของน้าแอ๊ด “ลินจง โอภากุล”

ภรรยาสุดสวยของน้าแอ๊ดอย่างแน่นอน ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นหญิง 2 คน คือลูกสาวคนโต “ณิชา โอภากุล” และลูกสาวคนเล็ก “นัชชา โอภากุล”

และชาย 1 คน คือ “ร.ต.ท.วรมันต์ โอภากุล” สำหรับน้าแอ๊ด นั้นเกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2497 โดยพื้นเพคนตำบลท่าพี่เลี้ยง จังหวัดสุพรรณบุรี

เป็นบุตรชายฝาแฝดคนเล็ก ครอบครัวมีอาชีพค้าขายของ ที่ตลาดเมืองสุพรรณบุรี เริ่มต้นการศึกษาในระดับประถมศึกษาโรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ ระดับมัธยมที่ โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย

จากนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็เกิดขึ้น แอ๊ดตัดสินใจบินเดี่ยวมาพร้อมกับรถส่งไปรษณีย์เพื่อเข้ามาศึกษาต่อระดับ อุดมศึกษาที่อุเทนถวาย

และบินไปเรียนต่อระดับปริญญาที่ ประเทศฟิลิปปินส์ สมัยเรียนร่วมก่อตั้งวงคาราบาวกับกิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียวคาราบาวเพื่อนสมัยเรียนที่ฟิลิปปินส์

หลังจากจบการศึกษาแล้ว ได้บินกลับมาเมืองไทยเข้าทำงานในตำแหน่งสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ เป็นเวลา 5 ปีและมีเล่นดนตรีตอนกลางคืนไปด้วย

จากนั้นได้มีโอกาสเข้าไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงแฮมเมอร์ที่ทำเพลง ประกอบภาพยนตร์เรื่องหมามุ่ยของ พนม นพพร ในสมัยนั้น

จากการทำงานดังกล่าวจึงเกิดแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มชุดแรกขึ้นมาในนามวงคาราบาว